เหตุที่ทำให้มีองค์เทพฯอวตารลงมาเกิดในยุคนี้
ปฐมเหตุของการเกิดร่างทรงองค์เทพมากมายในยุคนี้ กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพุทธกาล ก่อนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้นต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น
พระอานนท์จึงทูลถามว่า
เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“ แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ”
พระอานนท์จึงทูลว่า
“ ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “
:พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง
ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่งของพระอานนท์คือ 1,250 ปี
:พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก
เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้
เมื่อถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 ปี เป็นต้นมา จึงเป็นหน้าที่ของเทพพรหมเทวาทั้งหลายที่จะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชู ทนุบำรุงสืบพระศาสนาขององค์สมณโคดม ตามที่ได้ทูลขอกับพุทธองค์ไว้ จึงเป็นเหตุในเกิดมีร่างทรงองค์เทพมากมายในปัจจุบัน
องค์เทพนั้นไม่มีกายสังขารเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยสังขารของมนุษย์ที่มีธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่ออาศัยเป็นรูปธรรมในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ นำพาพุทธบริษัทบริจาคทานสร้างวัดวาอารามต่างๆ การช่วยเหลือบำบัดทุกข์ร้อนด้วยคำธรรมสอน แบ่งญาณบารมีรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับมนุษย์ และบอกบุญกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธาได้ร่วมกิจในทางธรรม บำเพ็ญกุศลในโอกาสต่างๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการสืบพระศาสนาเป็นสำคัญ
ดังนั้นการที่องค์เทพจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้น ก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
1. ญาณจุติ หมายถึงภาระหน้าที่ในการเกิดเป็นมนุษย์ตามวาระ และเป็นส่วนหนึ่งของทวยเทพที่ลงมาจุติ หรือการอวตารแบ่งภาค เพื่อมาสร้างบารมี ทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์หรือฆราวาสก็ตาม ที่เป็นผู้ใฝ่ในการปฏิบัติจนได้ญาณหรือฌาณ และมักจะลำบากในช่วงแรกแต่จะสบายในช่วงปลาย
2. ญาณแฝง หมายถึง องค์เทพในระดับต่างๆ ที่ยังไม่ถึงวาระการเกิดเป็นมนุษย์ แต่มีความเลื่อมใส ปรารถนาจะช่วยส่งเสริมและมีส่วนร่วมในการสืบพระศาสนาด้วย ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลานั้น ญาณนี้แหละที่มักถูกเรียกกันว่า “ องค์ ” หรือการ " ทรงญาณ " ซึ่งแยกตามภาระหน้าที่ได้ 2 ประการด้วยกัน
2.1 ความสัมพันธ์ในอดีต คือ ให้การอารักขาผู้ที่ได้มาจุติเป็นมนุษย์ เพราะเคยเกี่ยวสัมพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อกายสังขารได้ทำบุญและแผ่ส่วนกุศลให้ ก็จะได้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน ขณะเดียวกันก็จะคอยปกป้องคุ้มครอง ช่วยเหลือการทำมาหากิน ดลจิตดลใจ หรือเกิดเป็นลางสังหรณ์ในเรื่องราวต่าง ๆ นำพากันสร้างบารมีทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บางครั้งเวลาสวดมนต์นั่งสมาธิองค์เทพท่านจะพาสวดมนต์เป็นภาษาเบื้องบนหรือ ภาษาเทพไปเลยก็มี . . . ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวได้แก่
- เคยมีบุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
- เคยติดหนี้บุญคุณกันมาก่อนที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ หรือ ในอดีตชาติ
- เคยเป็นบุตรหลานหรือบริวารกันมาก่อน
- เกิดจาการสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีจากเทพเป็นประจำ เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่น นำพาสู่การสร้างบารมีร่วมกัน
2.2 ทำหน้าที่เป็นม้าทรง หรือ ร่างทรง ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่มักพบว่าหมดอายุขัย มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เทพที่มาจับร่างเห็นว่า เป็นคนดีและมีบารมีพอ แต่หมดอายุขัยกรรมมาตัดรอนก่อน ท่านก็เลยต่ออายุให้ด้วยการแบ่งบารมีให้ เพื่อให้กายสังขารมีชีวิตต่อเพื่อสร้างบารมี ร่วมกันกับเทพเทวดาในการสื่อสารเพื่อช่วยเหลือ ทำนายทายทัก รักษาโรค หรือกิจทางกุศลอื่นๆ สุดแท้แต่องค์เทพท่านจะเห็นสมควร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
ดังนั้นไม่ว่าการแบ่งภาคลงมาเกิดของเทพเทวดา หรือเป็นการทรงญาณผ่านกายสังขาร ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีด้วยเงื่อนไขของการเสียสละ และเพียรละอัตตาตัวตนต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น คำพูดที่ว่า " มารไม่มีบารมีไม่เกิด " จึงเป็นคำอธิบายได้ดีที่สุดของการเกิดมาเห็นทุกข์เพื่อให้เกิดดวงตาเห็นธรรมในโลกยุคนี้ . . . ขอเป็นกำลังใจให้ทุกดวงจิตแห่งทวยเทพทั้งหลายที่อุบัติลงมาในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ จงบรรลุธรรมประสงค์ และเป็นที่พึ่งแก่เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ . . .