สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
คาถามหาเมตตา สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
“ โอม ศรี ๆ ศุภะศรี
พุทธะคุณณัง ธัมมะคุณณัง สังฆะคุณณัง
นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
เมตตาพรหมมา คุณณัง วัชชะ พะ ลัง ”
คาถานี้เด่นเมตตามหาเมตตา และ ได้กำลังของสมเด็จองค์ปฐม มาเป็นกำลัง จะเกิดรัศมีเปล่งประกายเจิศจรัส เมื่อได้กล่าวบูชา . . . _/\_
วัชชะ หรือ วัชระ แปลว่า แกร่งเหมือนเพชร หรือไม่อาจถูกทำลายได้
อีกนัยยะหมายถึง พระวัชรสัตว์ (Vajrasattva) คือพระพุทธเจ้าในพุทธสภาวะที่อยู่เหนือต่อกาละและเวลา ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม (อาทิพุทธเจ้า) ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินและบาปอกุศลทั้งปวง และเป็นธรรมชาติของพุทธะที่มีอยู่ในเหล่าสรรพสัตว์ ตั้งแต่เริ่มแรก กายของท่านสีขาวสว่างบริสุทธ์เรืองรองดั่งดวงอาทิตย์พันดวง และว่างเปล่าดุจสายรุ้งบนท้องฟ้า มีเครื่องทรงประดับสวยงามประดับด้วยเพชรนิลจินดา มือขวาถือวัชระทองคำที่ระดับหัวใจหมายถึงความรักเมตตา ส่วนมือซ้ายถือระฆังเงินซึ่งหมายถึงปัญญา
สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ประวัติโดยย่อ
พระมหาเถรคันฉ่อง (คันฉ่อง เป็นภาษาไทย หมายความว่าผู้มีแสงสว่างเหมือนคันฉ่อง(กระจก) เพราะรัศมีกายท่านสว่างไสว)
ท่านเกิดที่ประเทศพม่า สมัยพระเจ้าสิริชัยสุระ(พระเจ้าเมงจีโย) มีเชื้อมอญลูกครึ่งจีน พูดได้ถึง ๔ ภาษา คือ มอญ พม่า ไทย จีน มีนามเดิมว่า เกี้ยะจ้อง เมื่อเจริญวัยบิดา-มารดาพาไปขึ้นพระกัมมัฏฐานกับพระมหาเถรชาวมอญ เรียนพระกัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ท่านจบสมถะและวิปัสสนา ตั้งแต่เป็นฆราวาสและเรียนวิชาพิชัยสงครามด้วย เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทๆแล้วได้แปดเดือน ถึงสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ๆท่านได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารชายหนุ่ม ชาวพม่า ชาวมอญต้องไปออกรบ ท่านได้เป็นนักรบในครั้งนั้นด้วย
เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ๆสวรรคตแล้ว พระเจ้าบุเรงนองปราบดาภิเษกตั้งราชวงศ์แล้ว ต่อมาท่าน เกี้ยะจ้อง ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ประมาณ พ.ศ.๒๐๙๓ ปลายรัชสมัยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ท่านเกี้ยะจ้องได้บำเพ็ญพระกัมมัฏฐานทุกวัน ถือวัตรปฏิบัติตามแบบพระอาจารย์ อยู่ป่าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร แล้วต่อมาท่านระลึกถึงทหารที่ได้รับบาดเจ็บในการสู้รบ ท่านก็ปรารถนาอยากจะช่วยเหลือ ช่วยหาทางรักษา จึงตั้งจิตอธิษฐานอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ต่อมาท่านได้จาริกธุดงค์ มาอยู่ป่าใกล้ๆพระธาตุมุเตา ชาวบ้านทราบเรื่องก็มากราบสักการะ ท่านพูดได้ทั้งภาษามอญ ภาษาพม่า กาลต่อมาพระนเรศทราบเรื่องราวว่ามีภิกษุเก่งกล้าวิชาอาคม มาอยู่ที่ป่ามุเตานั้น พระนเรศจึงขออนุญาต พระเจ้าบุเรงนอง เพื่อมาศึกษาพระธรรมกับ ที่อยู่ในป่านั้น ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองได้อนุญาติและส่งพระนเรศมาเรียนพระธรรมกัมมัฏฐานมัชฌิมาและพระคาถาอาคม กับพระเกี้ยจ้องๆ ท่านสามารถรู้อนาคตว่า พระนเรศจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา จึงคิดทำน้ำมันว่านยา เมื่อปรุงยาเสร็จก็ให้พระนเรศอาบน้ำว่าน เพื่อไว้ป้องกันพระองค์
ต่อมาพระมหาเถรคันฉ่อง-ได้รับสถาปนา จากสมเด็จพระนเรศมหาราช ให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชฝ่ายซ้าย เจ้าคณะอรัญวาสี ที่พระพนรัตน สถิตวัดแก้วฟ้า-ป่าแก้ว คลองตะเคียน อยู่หลังวัดพุทไธศวรรค์ ท่านถือข้อวัตร ๓ อย่าง ๑.อยู่ป่าเป็นวัตร ๒.บิณฑบาตเป็นวัตร ๓.นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ตามแบบอย่างพระมหากัสสปเถรเจ้า และแบบคณะป่าแก้ว พระพนรัตนมหาเถรคันฉ่องพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์ในต้นรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวเอกาทศรส
- สมเด็จพระพนรัตน์ คือผู้รจนาพระคาถาชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา (พระคาถาที่กล่าวถึงชัยชนะทั้ง 8 ของพระพุทธเจ้า) ที่สมเด็จพระนเรศวรใช้สวดเป็นประจำเพื่อทำศึกจนมีชัยชนะสามารถรวบรวมแผ่นดินสยามประเทศได้ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้เป็นการเปิดเผยโดยหลวงพ่อจรัล แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

- การจัดสร้างพระพิมพ์ปางมารวิชัยเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ในวาระที่พระนเรศวรมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา โดยเป็นที่มาของพระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล หรือ พระพิมพ์ยอดจอมทัพพิชิตมาร ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง
สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
- ดวงจิตของสมเด็จพระพนรัตน์แห่งยุคกรุงศรีอยุธยา ผู้รจนาพระคาถาพาหุงมหากา ก็คือดวงจิตเดียวกันกับสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้รจนาพระคาถาชินบัญชร ดังนั้นการสวดพระคาถาทั้งสองร่วมกันจึงควรน้อมนำบารมีของท่านทั้งสองมาเป็นที่พึ่ง เพื่อให้การสวดคาถาทั้งสองนั้นหนุนนำให้เกิดความสมบูรณ์แบบทั้งทางโลก(พาหุง) และทางธรรม(ชินบัญชร) นั่นจึงเป็นความสุขที่มั่นคงแท้จริง
พระคาถาชัยมงคลคาถานั้น คือการน้อมนำชัยชนะอันสมบูรณ์แบบที่มีเหนือดวงดาวทั้ง 8 ของพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่ง ส่วนพระคาถาชินบัญชร คือการน้อมนำอำนาจพระรัตนตรัยมาสถิตย์ ณ ดาวเกตุ 9 เทพเจ้าแห่งดวงชะตา เมื่อทางโลกและทางธรรมมาบรรจบเสมอกันด้วยกำลังแห่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เสมือนหยินหยาง ที่เกิดสมดุล ทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยการหมั่นสวดคาถาทั้ง 2 ร่วมกัน เพื่อเป็นที่พึ่งให้ผ่านพ้นภัยในวัฏฏะ ย่อมนำมาซึ่งความสุขความมั่นคงที่ยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง . . .
พระคาถาชัยมงคลคาถา
พระคาถาชินบัญชร