Schumann Resonance ชีพจรโลก กับความจริงแห่งจักรวาล

ค่าความถี่สนามแม่เหล็กโลก หรือชูมาน์นเรโซแนนซ์ (Schumann Resonances) หรือที่รู้จักกันในนามของ การเต้นของหัวใจของโลก (Earth’s heartbeat)

ค่าความถี่ชูมาน์นเรโนแนนซ์เป็นค่าที่ใช้วัดการสะท้อนของคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นหรือได้รับการกระตุ้นโดยประจุไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศที่เรียกว่า ไอโอโนสเฟียร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงจะทำให้เกิดฟ้าแลบเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนส้อมเสียง (tuning fork) ปรับความถี่ให้กับชีวิตของเรา นั่นคือ มันอยู่เบื้องหลังความถี่ที่ส่งอิทธิพลต่อวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงลูกด้วยนมนั่นเอง

ในปี 1954 ซูมาน์นได้ทำการทดลองและค้นพบว่า ความถี่ของสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกนั้นมีค่าเท่ากับ 7.83 Hz เราจึงเรียกค่าที่ได้จากการวัดความถี่สนามแม่เหล็กโลกว่า ชูมาน์นเรโซแนนซ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สนามพลังแม่เหล็กโลก หรือ Earth’s electromagnetic field นั้นเป็นสนามพลังที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตมาตลอด ด้วยความถี่ตามธรรมชาติที่ 7.83 Hz ลักษณะของสนามพลังจะเหมือนกับการกระเพื่อมของหัวใจ ฤาษีของอินเดียจะใช้เสียงแทนความถี่นี้คือ เสียงโอม (OHM) แปลว่า ภาคจำลองของเสียงอันบริสุทธิ์ (incarnation of pure sound) ช่วงคลื่นสมองที่ทำให้มนุษย์รู้สึกมีความสุข ผ่อนคลายจะอยู่ในระดับคลื่นประมาณนี้ และคลื่นความถี่ช่วงคลื่นนี้เองที่ใช้ในการสะกดจิต ให้คำปรึกษา การทำสมาธิ หรือจะเป็นการเพิ่มฮอร์โมน (Growth Hormone) ในมนุษย์ ทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการหมุนเวียนของเลือดในสมองด้วย

มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายที่พิสูจน์ได้ว่า ร่างกายของมนุษย์เราได้รับอิทธิพลจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ระบบหลักที่ได้รับอิทธิพลจากสนามพลังแม่เหล็กโลก และยังเป็นเสมือนเป้าการโจมตีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้แก่ ระบบประสาท (nervous system) เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนั้นคือ คลื่นและการสั่นสะเทือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลล้วนเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณระหว่างกัน ทั้งโลก ตัวเรา ดวงอาทิตย์ และปรากฏการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระบบจักรวาลเช่น ดาวเรียงตัวกัน การเดินทางผ่านมาของดาวหาง ดาวเคราะห์น้อยจะชนโลก เป็นต้น

แล้วคลื่นพลังความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกจะพบได้ที่ไหน ปกติซูมาห์นเรโนแนนซ์จะพบทั่วไปในธรรมชาติ มีมากใน ป่า น้ำตก ชายทะเล ปัจจุบันคลื่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงแบบผันผวนตลอดเวลา เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราสร้างขึ้น ทำให้ Electromagnetic Field (EMF) ที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นมีมากเกินไป คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราสร้างขึ้นนี้เองที่ไปหักล้างคลื่นพลังงานความถี่สนามแม่เหล็กโลก ทำให้โลกเสียสมดุลไปมาก

นอกจากมนุษย์แล้ว สัตว์ก็มีความสามารถในการรับรู้ต่อสนามแม่เหล็กโลกที่แตกต่างออกไป มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ว่า นกพิราบจึงรับรู้สนามแม่เหล็กและสามารถหาทางบินกลับรังได้เหตุเพราะว่าในสมองบางพื้นที่ของนก ปรากฏมีแร่ธาตุแมกนีไทต์อยู่มากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ นักธรณีวิทยายังเชื่อว่า สนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นโดยเหล็กหลอมละลายที่เป็นลาวาอยู่ใต้พื้นโลก เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาที่พวยพุ่งขึ้นแล้วเย็นตัวลงเป็นก้อนหินชนิดต่างๆ และกลายเป็นเปลือกโลกทีละชั้นๆ เปลือกโลกซึ่งก็ประกอบด้วยก้อนหินที่ปนธาตุเหล็กเหล่านี้จึงแฝงไว้ด้วยสนาม แม่เหล็กแรงบ้าง เบาบ้าง  อยู่ภายในหินชั้นต่างๆ เหล่านี้ ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ซึ่งวิวัฒนาการมาควบคู่กับกำเนิดของโลก ต่างก็มีอิทธิผลของสนามแม่เหล็กโลกแฝงอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิตอยู่ด้วย

ในญี่ปุ่นมีงานวิจัยที่พบว่า สนามแม่เหล็กโลกมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์เป็นอย่างมาก งานวิจัยพบว่า คนงานก่อสร้างตึกสูงที่ต้องใช้โครงเหล็กเป็นจำนวนมากในญี่ปุ่น มักป่วยด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง  นอนไม่หลับ นักวิจัยค้นพบว่าโครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึกทำหน้าที่เป็นฉนวน กั้นพลังงานสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร เป็นผลให้คนงานเกิดอาการป่วยเจ็บได้ เมื่อสร้างตึกไปหลาย ๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ  อาการเหล่านี้ พบอีกในเวลา 30 ปีหลัง

ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ผู้คนในสำนักงานทำงานอยู่ในตึกสูงเสียโดยส่วนมาก อาการเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อย อาจเกิดจากภาวะพร่องสนามแม่เหล็กโลกก็ได้

มันจึงน่าจะอธิบายได้ว่า มนุษย์เราเมื่อกลับเข้าสู่ธรรมชาติ หรือไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเทียวตามธรรมชาติ ห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน การจราจร การทำงาน และชีวิตที่จำเจ สมองของเราจะเริ่มปรับคลื่นให้มีความผ่อนคลาย หายจากความตึงเครียดได้

*** ทีนี้ เรื่องมีอยู่ว่า ***

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนปี 2014 ทีมนักวิทย์ได้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยชูมาน์เรโซแนนซ์ที่เราตรวจพบกับมีค่าความถี่ที่สูงขึ้นจากค่าปกติมาก จากที่ควรจะเป็นในระดับ 7.83 Hz มาอยู่ที่ 15-25 Hz และเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2017 ความถี่ของโลกเพิ่มขึ้นจนถึง 36+ Hz การก้าวกระโดดของระดับความถี่โลกจาก 7.83 Hz เป็น 36+ Hz ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ นั่นหมายถึงความถี่ของโลกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5 เท่า ระดับความถี่นี้เองคือ ความถี่ที่สร้างความตึงเครียดและกดดันให้กับระบบประสาทของเรา

นอกจากนี้ มีแนวความคิดหนึ่งที่มีมานาน นั่นคือ จิตสำนึกของมนุษย์ (human conscious) เราสามารถส่งผลกระทบต่อพลังงานสนามแม่เหล็กโลก และรบกวนคลื่นแม่เหล็กโลกได้ โดยเฉพาะช่วงที่เรามีความตึงเครียด วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งมีความต้องการทะยานอยาก ความหลงใหลในสิ่งต่างๆ นาๆ มากเกินไป หากเราไม่รู้ว่า ชีวิตเราปัจจุบันอยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เราก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้เราผลิตสภาวะจิตสำนึกเช่นนั้นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้ สถานการณ์ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือรอบๆ ตัวเรากลายเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดรดเพิ่มการก่อกวนคลื่นมากขึ้นไปอีก สังเกตง่ายๆ หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเวลาในแต่ละวันสั้นลงไปมาก นั่นคือตัวบ่งชี้สำคัญที่บอกว่า เรารู้สึกถึงการผันผวนของคลื่นรอบๆ ตัวเราได้

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ วิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อความถี่สูงขึ้น ความถี่นั้นจะสามารถรับข้อมูลที่มากมาย หลากหลายมากขึ้น ช่วงถี่จะกว้างขึ้น มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น เมื่อเราเป็นสิ่งมีชีวิต เราจึงอยู่ภายใต้กฎของสนามพลังแม่เหล็กเช่นกัน และเมื่อเรายังต้องอาศัยอยู่บนโลกนี้ เมื่อความถี่ของโลกเพิ่มสูงขึ้น ความถี่ของเราจะเพิ่มสูงขึ้นตามความถี่โลกหรือไม่

แม้วิวัฒนาการจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พลังงานของสนามพลังทั้งหมดจะเคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ ดังนั้น เมื่อความถี่โลกเพิ่มสูงขึ้น สมองของเราก็จะรับความพี่ได้มากมายยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นคลื่นความถี่ที่สูงกว่าคลื่นความถี่เบต้าของสมองด้วยซ้ำไป นั่นคือ เมื่อก้าวข้ามแถบความถี่ที่ไม่สมดุลแล้ว สมองของเราจะเริ่มตระหนักรู้ ระลึกรู้ และมีความสร้างสรรค์มากขึ้น

นั่นคือ ลักษณะของสมองที่อยู่ในช่วงคลื่นเกมมา (Gamma brain waves) ซึ่งมีความถี่สูงกว่าช่วงคลื่นเบตา (beta brain waves) ถึง 2 เท่า สิ่งที่เกิดกับสมองคือ สมองจะอยู่ในลักษณะถูกกระตุ้นตื่น แต่จะไม่ได้อยู่ในช่วงคลื่นที่ตื่นตัวแบบฉุกเฉิน จะหนีหรือสู้เพื่อความรอดชีวิตอีกต่อไป มันจะเป็นการ “ตื่นรู้” แบบ super consciousness และการตระหนักรู้ เช่นเดียวกับการเพิ่มสูงขึ้นของพลังงานความรักและความเห็นอกเห็นใจ

บางทีตอนนี้เราอาจอยู่ในยุคที่เรียกว่า วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด (สุดๆ) ก็เป็นได้



เมื่อความถี่ของโลกเปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลกระทบใดต่อมนุษย์อย่างเรา ?

มนุษย์เราคือจิตวิญญาณที่เข้ามาหลอมรวมกับกายเนื้อ (human body) นอกจากนั้น เรายังหลอมรวมเข้ากับจิตสำนึกและพลังงานที่รวมกันเข้าเป็นโลกเมื่อเราเกิดมาในร่างมนุษย์ เพื่อจิตวิญญาณเราจะกลมกลืนไปกับส่วนประกอบและความถี่ของดาวเคราะห์โลก ร่างกายของมนุษย์จะมีการปรับระบบให้ถูกต้องให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเมื่อถึงยามจำเป็น และเมื่อสนามพลังของมนุษย์ไม่สอนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อม มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่สภาพอารมณ์ จิตใจ จิตวิญญาณ และกายทิพย์จะทำงานสอดคล้องไปกับร่างกายเนื้อและความถี่ของโลก

ขณะเดียวกัน ความถี่ของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจะไปกระเทาะเอาสิ่งที่อุดตันทางพลังงานในสนามพลังงานออราของเราออก สิ่งอุดตันนี้เองที่ทำให้ร่างกายหยาบของเรายังคงติดอยู่ในช่วงคลื่นความถี่ที่ต่ำ การที่ความถี่ของเราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันคือการชำระล้างสนามพลังงานของมนุษย์ครั้งใหญ่ แต่ต้องเกิดในช่วงระยะเวลาที่พอดีเท่านั้น ลองคิดดูนะคะ เหมือนเราถูกไฟดูดนั่นแหละ ไฟบ้านมันก็จะทำให้เรารู้สึกเจ็บมันก็จะจี๊ดนิดๆ ผิดกับหากเราเจอกับฟ้าผ่า อันนี้คงต้องรักษากันนานทีเดียว

คำอธิบายด้านจิตวิญญาณและทางอภิปรัชญากล่าวว่า ยิ่งความถี่ของร่างกายเราสูงขึ้นเท่าไร ประสบการณ์ด้านความจริงที่เราสัมผัสจะมีความหนาแน่นน้อยลง ดังนั้น เป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น การควบคุม reality ที่เรากำลังประสบอยู่ให้เป็นไปในลักษณะที่สร้างความสามัคคีและเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติบนรากฐานของจิตสำนึกที่มีความรักเป็นที่ตั้ง ขณะที่ยังคงดำรงชีวิตอยู่ในกายเนื้อนี้เอง เป้าหมายเหล่านี้จะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อมีการปลดปล่อยพลังงานในอดีตที่ติดขัดหรืออุดตันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานที่เกิดตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก หรือจะมาแต่ชาติปางก่อน ที่ยังทำให้เราติดอยู่กับการสร้างมายาที่หนาหนักและความไม่สบายกายไม่สบายใจ โรคภัยต่างๆ ในโลกแห่งความจริงทางกายภาพ การปลดปล่อยพลังงานนี้จะช่วยให้ร่างกายสั่นสะเทือนในความถี่ที่สอดคล้องกับความถี่ของโลกและช่วยให้พลังงานไหลเวียนในร่างกายตามปกติ



หลายคนอาจสงสัย ทำไมบางคนจึงมีอาการที่เกิดจากความถี่ของโลกเพิ่มสูงขึ้น แต่อีกหลายๆ คนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย คำตอบคือหากมนุษย์เรายังคงติดอยู่กับรูปแบบและความคิดเดิมๆ หรือยังคงหลงวนอยู่กับความถี่ในระดับต่ำ ความถี่ของโลกที่สูงขึ้นก็ช่วยอะไรไม่ได้นัก แต่หากคนใดที่มีการปรับจิตสำนักให้สูงขึ้นมากพอที่จะรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น และสามารถที่จะเปิดจิตและเปิดใจรับกับปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ คนผู้นั้นก็จะเริ่มซึมซับเอาความถี่ใหม่ที่เกิดขึ้น จะเร็วหรือช้าขนาดไหน อันนี้ต้องขึ้นกับว่า จิตและวิญญาณของเรายอมแค่ไหน การซึมซับเอาความถี่ใหม่นี้เข้าไปทำให้น้ำในร่างกายเริ่มสั่นสะเทือนตามความถี่ที่พุ่งสูงขึ้น นี่เองที่ทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ มากมาย อาการที่น่าจะเกิดขึ้นก็จะมี

- มีอาการตัวร้อนเป็นพักๆ เพราะร่างกายเมื่อเปลี่ยนความถี่เป็นแรงสั่นสะเทือนที่มากขึ้น จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นนะจ๊ะ
- มีปัญหา สายตาเบลอ มองเห็นไม่ชัด
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- อาการเจ๊บปวดที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือมาและไปแบบแปลกๆ หรือมาอยู่จนเรายอมรับว่าเจ็บแล้วจึงหาย
- ได้ยินเสียงอื้ออึงในหูทั้ง 2 ข้าง บางทีก็จะเป็นประมาณความถี่สูงๆ หรือหูบอดเป็นคราวๆ ก็มี
- อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เนื่องจากพลังงานอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ปรากฏออกมาให้เราสลายมันไป
- รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก หรือจู่ๆ ก็มีพลังงานอย่างล้นเหลือ ขึ้นอยู่กับชนิดของความถี่ที่เราเจอในตอนนั้น และขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะจัดการกับความถี่นั้นๆ อย่างไร
- ลางสังหรณ์แม่นยำขึ้น ตัวรู้หรือสิ่งที่ช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหามีความชัดเจน แม่นยำขึ้น ความสามารถที่เกี่ยวกับสัมผัสที่ 6 เกิดหรือมีเพิ่มมากขึ้น
- ท้องเสียหรือมวลท้อง
- อาการเหมือนเป็นไข้หวัด
- มีปัญหากับช่องท้อง
- อาจหิวบ่อยขึ้นมาก หรือไม่อยากกินอะไรเลย ในลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิม
- เกิดอาการเครียด กดดัน วิตกกังวล ร่างกายเกิดอาการประเภทจะหนี หรือจะสู้ดีเอ่ย

อาการเหล่านี้ เกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นเพราะจิตวิญญาณเรามีการปรับระบบให้ถูกต้อง บางครั้งการปรับตัวนี้เอง อาจทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราจะตายเอาเสียให้ได้ เหมือนกับช่วงที่ร่างกายเราต้องรักษาตัวเองจากไข้หวัดหรือไวรัสต่างๆ นั่นเอง

หากเราเป็นพวกไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่พวกที่สนใจใส่ใจ หรือมีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง ความถี่เหล่านี้จะสร้างความรำคาญและก่อกวนเรามากกว่า ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่า จะไม่ซึมซับหลอมรวม ยกระดับกันไป คนเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในช่วงความถี่ที่ต่ำอยู่และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ต่อคลื่นความถี่ที่เข้ามา ที่สำคัญร่างกายอาจเริ่มมีปัญหา เพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความถี่ของโลกที่เปลี่ยนไปได้

หลายคนที่ไม่สามารถปรับกายเนื้อหรือจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ดีพอก็ต้องจากไป เราจึงเห็นระยะนี้มีคนที่เสียชีวิตไปหลายคน ด้วยเหตุที่ว่า บางคนอาจเลือกที่จะไม่เปลี่ยนความถี่ หรือบางคนอาจไม่มีพลังงานพอที่จะปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้



แล้วเราจะปรับตัวอย่างไรเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงความถี่สูงขึ้น ?

มีหลายวิธีที่จะช่วยให้เราปรับความถี่ให้เข้ากับโลกได้ดียิ่งขึ้น เช่น
การทำสมาธิ แต่ไม่ใช่แบบที่จะพาเราไปยังภพภูมิไหน หรือติดต่อกับจิตวิญญาณใดๆ ในภาคทิพย์ หรือส่งจิตออกนอกกายอะไรแบบนั้น แต่เป็นการทำสมาธิที่เน้นการหยุดนิ่ง การเดินลมหายใจ เพื่อช่วยให้พลังงานไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น จะทำแบบปิดตาหรือเปิดตาก็ได้ ไม่มีปัญหา เป็นการนำเอาสติกลับมาสู่ที่ตัวเรา ขอเรียกว่า เป็นการ Grounding จิตสำนึกของเราให้อยู่กับตัวเอง เก็บพลังงานที่แส่สายออกไปกลับมาให้หมดนะคะ

- ทำ Grounding หรือ Earthing คือ การเดินเท้าเปล่าบนพื้น ใช้เวลากับธรรมชาติให้มากขึ้น อาบน้ำเกลือทะเล (Sea Salt baths) ว่ายน้ำ หรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้เรา grounding ได้ดีขึ้น ตามหลักอายุรเวชก็จะมีเป็นพวกอาหารที่ประกอบด้วยพืชหัวหรือพืชที่เรี่ยกับดินทั้งหลายเช่น บีท แครอท กระเทียม ขิง ฟักทอง หัวไชเท้า มันฝรั่ง (sweet potatoes) เป็นต้น
- หากใครสามารถเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณประเภท Higher Self ของตัวเองได้ พวกทีมที่ให้คำปรึกษาหรือ Spiritual Guides ทั้งหลาย ลองขอให้เค้าช่วยปรับความถี่ให้ได้เวลาที่เราทรมานนะคะ
- ดื่มน้ำที่ปราศจากฟลูออไรด์เยอะๆ
- พักผ่อนมากๆ ร่างกายของเราทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากนอนหลับพักผ่อน หรือนอนเฉยๆ นิ่งๆ ก็ช่วยนะคะ
- ลองให้ความรักกับตัวเรามากๆ ดูแลร่างกายเราให้ดีๆ

- ออกกำลังกายเบาๆ จะเป็นการช่วยให้พลังงานไหลเวียนและปลดปล่อยพลังงานที่คั่งค้าง อุดตันอยู่ได้
- กินอาหารที่เป็นอาหารแท้ๆ อาหารออการ์นิก ไม่ใช่พวกอาหาร GMO
- ไปนวดบ้างก็ช่วยได้นะคะ
- ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจถึงสาเหตุและเข้าใจในการรักษาแบบองค์รวม หรือ holistic treatments ก็จะช่วยได้มาก
- ลองฟังเสียงร่างกายเราดูนะคะว่า ทำอะไรแล้วรู้สึกว่าถูกต้อง ว่าดี ว่าสบาย ทำไปก่อน เพราะร่างกายเรารู้ดีที่สุดว่า เค้าต้องการอะไรค่ะ