แนวคิด
คือการหางานให้จิต ด้วยลมหายใจเข้าออก เมื่อกำหนดบ่อยๆจนเป็นความชำนาญ และเห็นจิตเกิดดับ กำหนดรู้ให้เท่าทัน จนถึงวาระที่เห็นทุกสิ่งเกิดดับเป็นของธรรมดา เห็นทุกข์ในกายนี้ รู้สึกเบื่อหน่าย จนเกิดแสงปัญญาว่าการเกิดนี่เองคือต้นเหตุแห่งทุกข์ และหมั่นเพียรลดละกิเลสให้เบาบางด้วย ทาน ศีล ภาวนา จนไม่มีอัตตาตัวตนสิ่งเหนี่ยวรั้งพันธนาการใดๆให้ต้องเกิดเพื่อมาเจอทุกข์อีกต่อไป . . . นี่แหละคือหนทางหลุดพ้นจากทุกข์ ความจริงหนึ่งเดียวที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านค้นพบ . . .
เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อ
ทุกสรรพสิ่งมีความถี่เฉพาะตัว และปลดปล่อยพลังงานออกมา ตามกฏแห่งสัมพัทธ์ที่ต้องมีของคู่กันเสมอ เช่น ชายหญิง หยินหยาง ร้อนเย็น กลางวันกลางคืน ขั้วบวกขั้วลบ เริ่มต้นสิ้นสุด การเกิดและการดับ โดยสิ่งสัมพัทธ์นั้นจะทำปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา เกิดเป็นพลังงานหมุนเวียนส่งต่อ ซึ่งทางจิตวิญญาณนั้นเรารู้จัก ความดีความชั่ว ความรักความเกลียด ก็คือพลังงานบวก และ พลังงานลบ พูดง่ายๆคือทุกสรรพสิ่งนั้นคงอยู่ได้ก็เพราะต้องมีอีกสิ่งที่เป็นของคู่กันเสมอ และนี่คือกฏของการเกิดพลังงาน ดังนั้นการนั่งพิจารณาลมหายใจเข้าออก จึงไม่ใช่การเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่เป็นการสร้างพลังงานจากสิ่งสัมพัทธ์ที่ทรงพลังและไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด นั่นก็คือการเกิด และ ดับของกิเลสทุกลมหายใจ เกิดพลังกุศลจิตที่เป็นพลังงานด้านบวกมากมายมหาศาล ที่ถูกสร้างขึ้นทุกลมหายใจเข้าออก การภาวนาจึงถือเป็นการสร้างบุญ พลังงานบวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดดังคำกล่าวที่ว่า หากตามหาบุญใหญ่ไม่ต้องแสวงหาที่ไหนไกล แค่ดับอกุศลจิตในปัจจุบันขณะได้ นั่นคือมหากุศลยิ่งกว่าสร้างวัดโบสถ์หลายหลังนัก
ผลลัพย์
- กิเลสนั้นถมไม่มีวันเต็ม จึงไร้ขอบเขตที่สิ้นสุด การกำหนดดับลงได้ ณ ปัจจุบันขณะจึงเกิดจิตกุศลที่บริสุทธิ์ แรงสั่นสะเทือนพลังงานบวกที่ทรงพลังสูงสุด เกิดแสงสว่างแผ่รัศมีขับไล่ความมืดพลังงานลบให้สูญสลาย และดึงดูดสิ่งดีๆ ความสุข ความสมบูรณ์แบบเข้ามาสู่ใจกลางของผู้ที่เจริญภาวนา
- เมื่อหัวใจของการเจริญภาวนาคือการเพียรละ ผู้ที่ละแล้วซึ่งอัตตาตัวตนแล้ว จะหมั่นเตือนตน สอนตน ตำหนิตน และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นสัญลักษณ์ ในหมู่ชนที่มีธรรมให้ยึดเหนี่ยวจึงเป็นสังคมที่สงบสุขเพราะทุกคนนั้นมีแต่ความเมตตา และ การให้อภัย
ขั้นตอน
- ชำระล้างร่างกายให้สะอาด และสวมชุดสบายๆที่ไม่อึดอัด
- งดการทานอาหารมื้อหนักก่อนทำสมาธิอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- นั่งท่าสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย เอามือขวาทับมือซ้ายบนหน้าตัก (ท่าที่สบายเกินไป เช่นนั่งบนเก้าอี้ หรือท่านอน จะทำให้เกิดนิวรณ์ ง่วงนอน ขี้เกียจได้ง่าย) ท่านั่งสมาธิจึงดูเป็นท่าเหมาะสมที่ไม่ผิดครูที่สุด
- หางานให้จิตเป็นที่ยึดเหนี่ยว ด้วยการกำหนด ลมหายใจเข้า พุท – หายใจออก โธ
- เมื่อจิตหลุด ให้ตามดู และดึงสติกลับมาที่ลมหายใจทุกครั้งที่ระลึกได้ ทำบ่อยๆ ก็จะเกิดฌาณ จิตจะยกระดับโดยอัตโนมัติ ซึ่งทุกครั้งที่ทำการเจริญภาวนา อย่าคาดหวังว่าจะพบเจอความสุขสงบ หรือเหมือนกันทุกครั้ง เพราะหัวใจของการเจริญภาวนาคือ การเพียรละ และกายสังขารคือเครื่องมือของจิตในการฝึกฝน เพราะความปวดทรมานในกายนี้แล คือความทุกข์ที่แท้จริง การเห็นทุกข์ในกายนี้ และเห็นอารมณ์เกิดและดับอยู่บ่อยๆ จนเกิดปัญญารู้เห็นเป็นไปตามจริงว่า ทุกสิ่งนั้นไม่เที่ยงมีเกิดดับเป็นของธรรมดา การเกิดมามีกายนี้เองคือทุกข์ ก็เกิดความเบื่อหน่าย และปล่อยวางได้ในที่สุด นำสู่การละที่ยิ่งใหญ่ คือละจนไม่เหลือแม้อัตตาตัวตน ที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเจอกับทุกข์อีกต่อไป . . . นี่แหละคือเหตุผลของการเจริญภาวนา เพื่อจุดหมายปลายทางคือการเข้าสู่สภาวะหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง . . .
หน้าที่เข้าชม | 2,696,078 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,096,461 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 ก.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 16 ส.ค. 2568 |