คาถาชุมนุมเทวดา
ผะริตะวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตัง ภะณันตุ
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเปรัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยังมุนิวะระวะจะนัง สาธะโวเม สุณันตุฯ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา...
คำแปล
ท่านผู้เจริญ ผู้มีเมตตาขอจงแผ่เมตตาจิตไป อย่าได้มีจิตฟุ้งซ่านสวดพระปริตรเทอญ
ขอเชิญเทวดาทั้งหลายซึ่งสิงสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นกามภพ ในชั้นรูปภพ สิงสถิตอยู่บนยอดเขา และที่หุบผา ทั้งที่มีวิมานอยู่ในอากาศ และภุมมเทวดาทั้งหลาย ซึ่งสิงสถิตอยู่ในทวีป ในรัฐ ในหมู่บ้าน บนต้นไม้ ในป่าชัฏ ในเหย้าเรือน และเรือกสวนไร่นา ตลอดทั้งเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ และเหล่านาคทั้งหลาย ผู้เป็นสาธุชน ซึ่งอยู่ในน้ำ บนบก ที่ลุ่ม และที่ดอน จงมาชุมนุมกัน ขอเชิญฟังคำของพระมุนีเจ้าผู้ประเสริฐ
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม
น้อมจิตขอบารมีสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วมาเป็นที่พึ่ง
พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะ เนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
บทชัยปริตร (มหากาฯ)
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เม* ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ** ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ จาริสุ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า "เต" สวดให้ตัวเองใช้คำว่า "เม" (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)
** ถ้าสวดให้คนอื่น ให้เปลี่ยนเป็นคำว่า " ตะวัง วิชะโย โหหิ "
..........................🙏..........................
คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
น้อมจิตขอบารมีสมเด็จโตมาเป็นที่พึ่ง
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.
ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว
กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.
ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.
เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.
คำแปล
พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์
ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ
อริยะสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์
มี ๒๘ พระองค์คือ พระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นต้น พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนีทั้งหมดนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะ
พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง
พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก
พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจพระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา
พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง
พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา
พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย
มุนีผู้ประเสริฐคือพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสง
อยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ
มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ
พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี
พระเถระทั้ง ๕ นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก
ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือผู้มีชัยและเป็นพระโอรส
เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วน
รุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่
พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้าพระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา
พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง
พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร
เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ
อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้
ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิด มีศีลาทิคุณอันมั่นคง
สัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม
แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน
อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น
เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ
ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล
ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม
จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวอันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า
ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพ
แห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติ และรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญฯ
บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ
อัญเชิญเทวดากลับ
ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา
โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน
เอตตา วะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะ สัมปะทัง
สัพเพ เทวา นุโมทันตุ สัพพะ สัมปัตติ สิทธิยา
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนา ภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตา คะตา
สัพเพ พุทธา พะลัป ปัตตา ปัจเจ กานัญ จะ ยัง พะลัง
อะระหันตา นัญ จะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส
คำแปล
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ประสบทุกข์ จงพ้นจากทุกข์ ที่ประสบภัย จงพ้นจากภัย ที่ประสบกับความโศก จงพ้นจากความโศกเสียเถิด และขอเหล่าเทวดาทั้งปวง จงได้อนุโมทนาซึ่งบุญสมบัติ อันข้าพเจ้าทั้งหลายได้สร้างสมไว้แล้ว เพื่อความสำเร็จ แห่งสมบัติทั้งปวงเถิด
มนุษย์ทั้งหลายจงให้ทานด้วยใจศรัทธา จงรักษาศีล และยินดียิ่งในการภาวนาตลอดกาลทุกเมื่อ เทวดาทั้งหลาย ที่มาชุมนุมแล้วขอเชิญกลับเถิด
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนทรงพระกำลังทั้งหมด กำลังใดแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย และกำลังแห่งพระอรหันต์ทั้งหลายมีอยู่ ข้าพเจ้าขอผูกรักษา ด้วยเดชแห่งกำลังนั้นโดยประการทั้งปวง
..........................🙏..........................
โพชฌังโค สะติสังขาโต
ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิริยัมปีติปัสสัทธิ
โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
สัตเตเต สัพพะทัสสินา
มุมินา สัมมะทักขาตา
ภาวิตา พะหุลีกะตา
สังวัตตันติ อะภิญญายะ
นิพพานายะ จะ โพธิยา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ เม(เต) โหตุ สัพพะทา
เอกัสมิง สะมะเย นาโถ
โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง
คิลาเน ทุขิเต ทิสวา
โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
เต จะ ตัง อะภินันทิตวา
โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ เม(เต) โหตุ สัพพะทา
เอกะทา ธัมมะราชาปิ
เคลัญเญนาภิปีฬิโต
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ
ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
สัมโมทิตวา จะ อาพาธา
ตัมหา วุฎฐาสิ ฐานะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ เม(เต) โหตุ สัพพะทา
ปะหีนา เต จะ อาพาธา
ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
มัคคาหะตะกิเลสา วะ
ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ เม(เต) โหตุ สัพพะทา
คำแปล
โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ…
ผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมโพชฌงค์ก็จะเข้าใจความธรรมดาของชีวิต ว่าเป็นของไม่เที่ยง มีการแตกดับไปเป็นของธรรมดา เมื่อเข้าใจก็จะเห็นความแตกดับเป็นเรื่องที่ปกติ สิ่งใดเกิดมาสิ่งนั้นย่อมดับไปก็จะทำให้มุ่งรักษาใจไม่ให้ป่วยนี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของโพชฌงคปริตร
คาถาอุณหิส เป็นอีกหนึ่งบทคาถา ที่นิยมใช้สวดเพื่อป้องกันภัย อันตรายจาก อมนุษย์ ภูต ผี ปีศาจ โดยมากจะนิยมใช้สวดในงานทำบุญ ต่ออายุ ตำนานของคาถาอุณหิสมีดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริชาติในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์แก่เทพยดาทั้งหลาย ในกาลนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า สุปติฏฐิตเทพบุตร ถึงกาลที่จะต้องไปเสวยผลกรรมในนรกเป็นเวลาหนึ่งแสนปีในอีก ๗ วันเข้าสักการบูชาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ครั้นถวายอภิวาทแล้วก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงบทอุณหิสวิชัย เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว เทวดาทั้งหลายอันมีองค์อมรินทราธิราชเป็นประธาน ต่างซาบซึ้งในพระสัทธรรมบรรลุธรรมพิเศษคือ มรรคผลเป็นอันมาก ส่วนสุปติฏฐิตเทพบุตรก็มีใจน้อมนับถือในพระพุทธเจ้า เลื่อมใสในธรรมของพระองค์และจะมีอายุยืนยาวสืบต่อไปจนถึงสมัยที่พระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปลงมาตรัสรู้ จึงจะมาจุติลงสู่โลกมนุษย์และจะได้เป็นพระอรหันต์ ด้วยอานิสงส์แห่งการฟังอุณหิสสะวิชะยะคาถา
บทสวดคาถาอุณหิสสวิชัย
อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต
ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก
พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา
สัพพัสมา มะระณา มุตโต ฐะเปตวา กาละมาริตัง
ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร
ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
ปะเรสัง เทสะนัง สุตวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ
คำแปล :
ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญของข้าพเจ้าทุกชาติให้กับบิดามารดา ครูอาจารย์ เทพเทวดา เชื้อโรคในตัวข้าพเจ้าเจ้ากรรมนายเวรเจ้าบุญนายคุณของข้าพเจ้า ขอให้เจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายของคุณข้าพเจ้า ได้โปรดอนุโมทนาบุญ และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เถิด ..
แม้แต่กรรมใดที่ใครทำไว้แก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมทั้งสิ้น ยกถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมใดๆ ต่อไป ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ คุ้มครองข้าพเจ้า บิดามารดา ครูบาอาจารย์ คู่ครอง ญาติมิตร บุตรบริวาร ตลอดจนผู้อุปถัมภ์
ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง มีดวงตาที่เห็นธรรมพบเจอแต่กัลยาณมิตร เทอญ . . .
นะโม 3 จบ
สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ
คาถาบูชา 3 พระอรหันต์แห่งโชคลาภ
อิมินา สักกาเรนะ พุทธังปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมังปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆังปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สีวลีเถระ ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังกัจจายน์เถระ ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ อุปคุตเถระ ปูเชมิ
สีวลี สังกัจจายน์ อุปคุต จะ มหาเถโร
เทวะตานะระ ปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตังสะทา
เอหิบูชา เอหิจิตติจิตตัง อินทราพรหมมัง มะนุสสังจะปูชิตัง
สีวลี อาราธนานัง นะชาลีติ
สังกัจจายน์ อาราธนานัง นะปุเนวัง
อุปคุต อาราธนานัง จิตติลาภัง จิตตังสุขัง
สีวลี ประสิทธิเม สัพพะลาภัง สะทาโสตถี
สังกัจจายน์ ประสิทธิเม มหาโภคัง สุขัง ปัจจะยาทิมหิ
อุปคุต ประสิทธิเม มหาลาภัง สัพพะสุโข ภะวันตุเมฯ
(สวดวันละ 9 จบ หรือ 11 จบ)
..........................🙏..........................
อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ
" อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิอิโสตัง พุทธปิติอิ "
ข้อคิดต่างๆ จากการสวดมนต์ท่าน “ ว. วชิรเมธี” เคยกล่าวถึงเรื่องการสวดมนต์ไว้ครั้งหนึ่งว่า มนต์ คือพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ถ้าสวดมนต์แบบไม่มีปัญญาเรียกว่ามนตร์คาถา แต่ถ้าสวดอย่างมีปัญญา มีความเข้าใจในพุทธพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราถึงจะเรียกว่าพุทธมนต์ทุกวันนี้เราต้องตรองดูว่า กำลังสวดพุทธมนต์ หรือมนตร์คาถา ดังนั้นการสวดมนต์อย่างมีปัญญา จะเป็นโอกาสให้เราได้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดจนได้ตระหนักถึง คุณงามความดีของพระองค์ และพระสาวก จึงนับได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นกุศลอย่างยิ่ง และมีคุณค่าเทียบกับการได้เข้าเฝ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตัวเองเลยทีเดียว...อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าแค่การสวดมนต์ จะเป็นการกระทำที่ถึงพร้อมด้วยกายวาจาใจอันนำไปสู่กุศลได้อย่างไร ... คำตอบก็คือ เพราะการสวดมนต์ ที่ถูกต้องนั้นย่อมประกอบไปด้วยการกระทำอันเป็นกุศลดังนี้1. การไหว้การกราบ ด้วยกริยาแสดงถึงความเคารพ สำรวมต่อสิ่งที่ควรเคารพ ด้วยการนั่งในท่วงท่าที่เหมาะสมประนมมือระดับอก การจัดว่าเป็นการ ทำความดีทางกาย2. การเปล่งเสียงสวดมนต์ เพื่อสรรเสริญพระพุทธคุณพระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ด้วยน้ำเสียงอันชัดถ้อยชัดคำ อย่างถูกอักขรวิธี จึงจัดได้ว่าเป็นการทำความดีทางวาจา3. การตั้งจิตเป็นสมาธิเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนและคุณงามความดีของพระสงฆ์ ซึ่งจัดว่าเป็นการทำความดีทางจิตใจหากการสวดมนต์ครั้งใดประกอบขึ้นด้วยปัจจัยทั้ง 3 อย่างครบถ้วนกุศลย่อมบังเกิดแก่ผู้สวดอย่างไม่ต้องสงสัยพลังของเสียงสวดมนต์
จากงานวิจัยของดอกเตอร์ มะซะรุ เอะโมะโตะ (Masaru Emoto) นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ได้ทำให้คนทั่วโลกตื่นตะลึงกับพลังของเสียง จากงานวิจัยที่ผ่านการรวบรวมข้อมูลมากกว่า 17 ปี พบว่า เมื่อนำตัวอย่างน้ำ ที่เก็บจากสถานที่ธรรมชาติ และสภาวะต่างๆ แล้วนำมาถ่ายด้วยกล้อง hi speedในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งน้ำเริ่มแข็งตัว ผลึกของน้ำจะก่อตัวแตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือ น้ำที่ผ่านการสวดมนต์ สีเปิดเพลงที่ไพเราะ การกล่าวคำอวยพร คำพูดดีๆ พร้อมกับส่งความรู้สึกเมตตาและปรารถนาดี ผ่านลงไปในน้ำ ก็จะพบว่า น้ำจะก่อตัวเป็นผลึกสวยงามและมีสีสันสดใสมาก แต่หากพูดจาหยาบคาย กล่าวคำให้ร้าย ใส่อารมณ์โกรธหรือเกลียดผ่านลงไปในน้ำ ผลึกน้ำก็จะก่อตัวกันแบบแหว่งวิ่น ไม่เป็นรูปร่างและมีสีทึมทึบน่ากลัว
จากงานวิจัยจึงได้ข้อสรุปว่า จิตของมนุษย์และสภาพแวดล้อมรวมถึงเสียงนั้นมีผลต่อการก่อตัวของผลึกน้ำ ดังนั้น งานวิจัยนี้ทำให้เรามั่นใจได้มากขึ้นว่า พลังที่เกิดจากการสวดมนต์นั้นมีอยู่จริง และจะเป็นพลังทางบวกให้ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฟัง และผู้สวดได้อย่างไม่ต้องสงสัย ( ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 60 % และน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของเลือด 90% ดังนั้นน้ำที่ดีมีคุณภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดสุขภาพของสิ่งมีชีวิต)
กำลังใจจาก...พระสุปฏิปันโนการสวดมนต์เป็นการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือคุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใดก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั้นแล( สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรัหมรังสี สมเด็จ 5 แผ่นดินวัดระฆัง โฆสิตาราม )พระพุทธมนต์นั้น ใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ เช้า-เย็น หรือชาวพุทธทุกคน สวดพุทธคุณ ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล พูดสวดออกเสียงพอฟังได้มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล สวดมนต์เช้า-เย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้โกฏิจักรวาล สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล( หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต )การสวดมนต์ทำความดีก็อย่าได้ใจร้อนอย่าโลกทำไปเรื่อยถึงคราวบุญกุศลที่ทำไว้ก็จะจัดสรรเอง ให้ร่ำรวยเป็นสุขเองโดยไม่ต้องอ้อนวอนขอให้เหนื่อย( หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค )การสวดมนต์ไหว้พระเป็นธรรมประจำชีวิต เป็นข้อคิดประจำชีวิต เกิดผลผลิ งดงามสร้างความดีให้แก่ตน ผลกำไรเป็นความดี เพื่อมอบแก่เพื่อนร่วมชาติ ร่วมโลกได้อยู่ด้วยความโชคดีทุกๆท่าน ขอให้ท่านพร้อมสมาชิกในครอบครัว ได้สวดมนต์กันทุกคน ทุกครอบครัว เพื่อเป็นมงคลในชีวิต จะเกิดฐานะดี มีปัญญาจะได้มีความสุข ความเจริญยิ่งๆขึ้นไปในชีวิต( หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม )_/\_...ขออุทิศแด่บิดามารดาญาติสนิทมิตรสหายครูบาอาจารย์เจ้ากรรมนายเวร..._/\_
หน้าที่เข้าชม | 2,696,078 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,096,461 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 ก.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 16 ส.ค. 2568 |